ดูหนังอย่างคนเบี้ยน้อยหอยน้อย 178; ดู Incredibles 2 หนังภาคต่อของหนึ่งในหนังแอนิเมชันที่ดีที่สุดตลอดกาล
ขอบอกว่าดิฉันไม่ได้โปรยเว่อร์ เพราะหนัง The Incredibles เมื่อปี 2004 อันเป็นภาคแรกนั้น ทั่วโลกต่างยอมรับว่ามันขึ้นหิ้งในทุกกรณี หนังเป็นผลงานเรื่องที่ 6 ของพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ค่ายที่มีชื่อในด้านความสร้างสรรค์และบันเทิงอันเปี่ยมไปด้วยสาระ ดังที่ดิฉันได้เมาท์ไว้เมื่อตอนที่เขียนเรื่อง Coco ในเบี้ยน้อยหอยน้อย 157 ความยอดเยี่ยมของ The Incredibles นั้น แม้เวลาจะผ่านมาแล้วตั้ง 14 ปี แต่คนก็ยังคงสรรเสริญแซ่ซ้อง จึงไม่น่าแปลกใจที่หนังจะกวาดรางวัลในสาขาแอนิเมชันไปแทบจะทุกเวที รวมทั้งรางวัลใหญ่อย่างออสการ์ด้วย
The Incredibles หรือชื่อไทย “รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก” เล่าเรื่องราวของครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่ ในช่วงเวลาที่การเป็นซูเปอร์ฮีโร่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย คุณพ่อคุณแม่ของครอบครัวนี้เมื่อสมัยยังหนุ่มยังสาวเคยเป็นซูเปอร์ฮีโร่ระดับท็อป คุณพ่อมีฉายาว่า “มิสเตอร์อินเครดิเบิล” (incredible แปลว่า เหลือเชื่อ เกินจริง อัศจรรย์) เนื่องจากมีพละกำลังเหนือมนุษย์ ส่วนคุณแม่มีฉายาว่า “อีลาสติเกิร์ล” (Elastigirl มาจาก Elastic Girl หรือ สาวจอมยืดหยุ่น) เนื่องจากสามารถยืดหยุ่นร่างได้ราวกับไม่มีกระดูก ทั้งสองแต่งงานกันตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นซูเปอร์ฮีโร่ แล้วหลังจากนั้นก็เกิดเหตุประชาชนยื่นฟ้องซูเปอร์ฮีโร่หลายคดี อาทิ การปราบเหล่าร้ายของซูเปอร์ฮีโร่ทำให้บ้านเมืองพังวินาศสันตะโร และคนบางคนเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ แต่ซูเปอร์ฮีโร่ก็ดันเข้าไปช่วย ทำให้เขาชวดเงินประกันที่เขาหวังว่าจะได้ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ซูเปอร์ฮีโร่ทั่วประเทศก็เลยถูกจัดระเบียบขนานใหญ่ แล้วในที่สุดกฎหมายก็ไม่คุ้มครองการเป็นซูเปอร์ฮีโร่อีกต่อไป ซูเปอร์ฮีโร่ทุกคนจึงต้องเก็บซ่อนพลังพิเศษของตัวเอง และใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาสามัญ ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจดังที่เคยทำมาได้อีก
มิสเตอร์อินเครดิเบิลและอิลาสติเกิร์ลต้องกลับมาใช้ชื่อนามสกุลจริง คือ โรเบิร์ต หรือ บ็อบ พาร์ และเฮเลน พาร์ เมื่อมีลูก ปรากฏว่าลูกก็มีพลังพิเศษเช่นกัน กล่าวคือ ไวโอเล็ต ลูกสาวคนโต สามารถล่องหนและสร้างสนามพลังได้ แดช ลูกชายคนกลาง สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วระดับซูเปอร์สปีด ส่วนแจ็ค-แจ็ค ลูกชายคนเล็ก อายุแค่ไม่กี่เดือน ยังไม่แสดงความพิเศษอะไรออกมา ไวโอเล็ตกับแดชถูกพ่อแม่ปลูกฝังแกมบังคับมาตลอดว่าห้ามใช้พลังพิเศษ เด็กทั้งสองจึงเก็บกดและสับสนงุนงงกับชีวิตตัวเองพอสมควร ในขณะที่พ่อแม่ก็ใช่ว่าจะยินดีกับสภาพที่เป็นอยู่ บ็อบต้องทนทำงานเป็นพนักงานในบริษัทประกันอย่างเซ็งๆ ส่วนเฮเลนก็เป็นแม่บ้านอย่างเหนื่อยหน่าย ครอบครัวนี้จึงมีปัญหารุมเร้า บรรยากาศมาคุมากแม้ว่าภายนอกจะดูมีความสุขดี
คุณพ่อบ็อบกลับมาคึกคักกระชุ่มกระชวยเหมือนตอนหนุ่มๆ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้รับการติดต่ออย่างลับๆ ให้ไปทำภารกิจซูเปอร์ฮีโร่ แกก็เลยไปหาดีไซเนอร์คู่ใจ ขอให้ทำชุดใหม่ให้แกใส่ไปปฏิบัติภารกิจ ดีไซเนอร์ผู้นี้คือ เอ็ดน่า โหมด เจ้าแม่แห่งการทำซูเปอร์สูท เพราะเธอไม่ได้เป็นแค่แฟชั่นดีไซเนอร์ แต่ยังเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย เอ็ดน่าทำชุดมิสเตอร์อินเครดิเบิลไปแล้วก็เมามัน จึงทำชุดให้ทุกคนในครอบครัวพาร์ด้วยเลย เพราะเข้าใจว่าเขาจะไปปฏิบัติภารกิจกันทั้งครอบครัว
เมื่อบ็อบได้ชุดใหม่แล้ว ก็เดินทางไปปฏิบัติภารกิจทันที แต่นั่นกลายเป็นการเดินไปสู่กับดัก เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นแผนของมหาเศรษฐีหนุ่ม บัดดี้ ไพน์ ซึ่งเมื่อยังเด็กเคยคลั่งไคล้มิสเตอร์อินเครดิเบิลจนถึงขั้นขอสมัครเป็นคู่หู แต่ถูกปฏิเสธ ก็เลยแค้น ฮีจึงสร้างอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ที่ช่วยให้มีพลังเหนือมนุษย์ อุปโลกน์ตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ฉายา “ซินโดรม” แล้วก็เตรียมจัดฉากให้ตัวเองได้แสดงฝีมือในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ให้โลกจารึก และกำจัดมิสเตอร์อินเครดิเบิลไปพร้อมกัน
เฮเลนได้รู้พิกัดของบ็อบจากจีพีเอสที่ติดอยู่กับชุด ก็เลยตามไปช่วยสามี ไวโอเล็ตกับแดชแอบตามไปด้วย ทุกคนในครอบครัวจึงได้แท็คทีมกันปราบซินโดรมและสมุน โดยใส่ชุดที่เอ็ดน่าทำให้ เป็นชุดสีแดง-ดำ มีอักษร i อยู่บนหน้าอก ย่อมาจาก The Incredibles (ครอบครัวอินเครดิเบิล) พร้อมด้วยซูเปอร์ฮีโร่ผิวสีเพื่อนสนิทของครอบครัวซึ่งมาช่วยอีกแรงหนึ่ง ได้แก่ ลูเชียส เบสท์ ฉายา “โฟรโซน” ผู้มีพลังเปลี่ยนไอน้ำเป็นน้ำแข็ง
ปรากฏว่า ปฏิบัติการครั้งนี้นอกจากจะเป็นการ ‘พิทักษ์โลก’ แล้ว ยัง ‘พิทักษ์ครอบครัว’ ด้วย เพราะสมาชิกในครอบครัวทุกคนต่างก็ได้ค้นพบคุณค่าและศักยภาพของตัวเอง บ็อบกลับมาภาคภูมิใจในตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เฮเลนตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นแม่บ้านซึ่งต้องอาศัย ‘ความยืดหยุ่น’ อย่างสูง ไวโอเล็ตมั่นใจในตัวเองจนไม่ต้องทำตัว ‘ล่องหน’ หรือสร้างเกราะกันตัวเองออกจากคนอื่นอีกต่อไป แดชได้ค้นพบพลังสปีดสุดขีดขั้น ส่วนแจ็ค-แจ็คก็ฉายแววว่าจะมีพลังพิเศษสุดอลังการ แม้ว่าบ้านทั้งหลังของครอบครัวพาร์จะระเบิดพังไปจากการต่อสู้กับซินโดรม แต่สายใยรักในครอบครัวกลับแข็งแกร่งขึ้น และปัญหาก็ดูจะคลี่คลาย
เวลาผ่านไป 14 ปีในชีวิตจริง แต่เหตุการณ์ในหนัง Incredibles 2 เกิดขึ้นหลังจากภาคแรก 3 เดือนเท่านั้น #เป็นแอนิเมชันจะทำอะไรก็ได้ ท่านที่ไม่ได้ดูภาคแรกหรือดูแล้วลืมไปแล้ว พอมาดูฉากเปิดภาค 2 อาจจะงงๆ หน่อย ดิฉันก็เลยจะขอเล่าย้อนไปที่ฉากจบของภาคแรกนิดนึง คือหลังจากที่ไวโอเล็ตได้นัดดูหนังกับโทนี่ หนุ่มที่เธอแอบชอบมานาน ก็มีสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งตัวตุ่นโผล่จากใต้ดินขึ้นกลางเมือง ประกาศว่า “ข้าคือ ดิอันเดอร์ไมเนอร์” (The Underminer แปลว่า ผู้ขุดเซาะอยู่ข้างใต้ ผู้บ่อนทำลาย) “ข้าอยู่ใต้ทุกคนมาตลอด แต่ไม่มีใครอยู่ใต้ข้าเลย” (ก๊ากกกก) “ข้ามาที่นี่เพื่อประกาศสงครามกับความสงบสุข อีกไม่นานทุกคนจะต้องเกรงกลัวข้า” ครอบครัวพาร์อยู่ในเหตุการณ์พอดี ทุกคนจึงเตรียมพร้อมที่จะลุย หนังภาคแรกจบลงตรงนี้ แล้วภาค 2 ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นี้ 3 เดือน เมื่อปฏิบัติการปราบดิอันเดอร์ไมเนอร์ไม่ได้หมูอย่างที่คิด และมันก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงจนครอบครัวพาร์แทบจะวายป่วงอีกครั้งหนึ่ง
ที่มาภาพ: joblo.com
หนัง Incredibles 2 นี้ ยังคงเป็นผลงานการเขียนบทและกำกับของ แบรด เบิร์ด ผู้แจ้งเกิดอย่างระเบิดเถิดเทิงด้วยความสำเร็จถล่มทลายของ The Incredibles เมื่อ 14 ปีที่แล้ว แกบอกว่าที่ใช้เวลาถึง 14 ปี กว่าจะมีภาค 2 ก็เพราะแกต้องการไอเดียที่เจ๋งที่สุด ถ้ายังไม่เจ๋งพอแกก็ยังไม่ทำ ข้อนี้ดิฉันก็เข้าใจแกอยู่ เพราะการทำผลงานที่พีคสุดๆ ไว้แล้ว มันก็เหมือนการตั้งมาตรฐานไว้สูงมากๆ การจะสร้างงานชิ้นถัดไปให้ดีกว่าเดิม หรือแม้แต่ดีเท่าเดิม ก็เลยอาจจะเป็นเรื่องยาก ในขณะที่คนอื่นซึ่งรอดูรอชม ก็ย่อมจะตั้งความหวังว่าจะได้เห็นอะไรที่ดีกว่าเดิม และย่อมจะอดเปรียบเทียบของใหม่กับของเดิมไม่ได้ ทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Incredibles 2 คือมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่คนดูจะผิดหวังเล็กๆ กับเนื้อเรื่องที่ไม่เป๊ะปังกลมกล่อมเท่าภาคแรก ส่วนตัวดิฉันเองนั้น รู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันก็ด้อยกว่าจริงๆ แต่ประเด็นที่หนังนำเสนอก็ไม่ได้ไก่กา มีอะไรให้คิดลึกๆ ได้อยู่
ในแง่หนึ่ง หนังนำเสนอประเด็นที่เป็นกระแสร้อนแรงของปีที่แล้วมาจนถึงปีนี้ นั่นก็คือ Girl Power หรือ “พลังหญิง” ซึ่งที่จริงก็มีการชูประเด็นนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ ว่าผู้หญิงมีศักยภาพสูงมาก แต่ไม่ค่อยได้รับโอกาสให้ได้แสดงศักยภาพนั้น หรือแม้จะได้รับโอกาส ค่าตอบแทนความรู้ความสามารถก็ยังน้อยกว่าผู้ชาย เรื่องนี้เป็นประเด็นในฮอลลีวูดมานาน แต่ด้วยความที่ในสังคมฮอลลีวูดนั้น เขาว่ากันว่าผู้ชาย (ผิวขาว) เป็นใหญ่ ข้อเรียกร้องที่จะให้ยอมรับความสามารถของผู้หญิงและจ่ายค่าจ้างให้เท่าเทียมกับผู้ชาย จึงถูกเมินเฉยและตีมึนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีข่าวฉาวขึ้นมา เมื่อนักแสดงหญิงจำนวนมากออกมาเปิดเผยว่าเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศในฮอลลีวูด ก็เลยไปปลุกกระแสเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศในฮอลลีวูดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ฮอลลีวูดก็เลยเชิดชูพลังหญิงกันใหญ่ อย่างใน Incredibles 2 ก็เห็นได้ชัดเจนมาก เพราะอิลาสติเกิร์ลได้โชว์เดี่ยวแบบเต็มๆ ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่หญิง ในขณะที่มิสเตอร์อินเครดิเบิลต้องทำหน้าที่พ่อบ้านเต็มตัว การสลับบทบาทของชาย-หญิงเช่นนี้ ค่อนข้างจะส่งสัญญาณบางอย่างแก่สังคมพอสมควร
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าคิด คือผลกระทบของการยึดเหนี่ยวใครบางคนเป็น ‘ฮีโร่’ ที่ผ่านมาเราเห็นแต่แง่ดีของสังคมที่มีฮีโร่ จนรู้สึกว่าสังคม ‘จำเป็นต้อง’ มีฮีโร่จึงจะสามารถอยู่รอดได้ แต่จะมีใครเคยเห็นด้านมืดของการยึดฮีโร่เป็นสรณะไหม ดิฉันว่าหนังมีแง่มุมที่ชี้ให้เราทบทวนเรื่องนี้ ว่าจุดที่พอดีในการยึดถืออะไรบางอย่างนั้นอยู่ตรงไหน เพราะถ้ามันไม่พอดีเสียแล้ว ก็จะมีปัญหาตามมาแน่ๆ ดิฉันไม่ค่อยจะเคยเห็นประเด็นแบบนี้ในหนังซูเปอร์ฮีโร่สักเท่าไหร่ ก็เลยรู้สึกว่ามันก็สร้างสรรค์ดีเหมือนกัน
ความสร้างสรรค์อีกอย่างหนึ่งที่แบรด เบิร์ด ทำได้อย่างไม่เสียยี่ห้อ ก็คือฉากแอ็กชันต่างๆ ที่เกินขีดจินตนาการ ล้ำกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่คนแสดง จริงอยู่ว่าเป็นแอนิเมชันจะทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าไม่เห็นภาพชัดตั้งแต่ต้นก็ทำไม่ได้แบบนี้หรอกนะ มุขต่างๆ ก็เช่นกัน ยังขำกิ๊กขำก๊ากไม่ต่างจากเมื่อ 14 ปีก่อน เอ็ดน่า โหมด ออกไม่กี่ฉากแต่ขโมยซีนเช่นเดิม (ตัวละครตัวนี้ แบรด เบิร์ด พากย์เสียงเอง เพราะหานักแสดงหญิงที่เสียงต่ำเท่าที่เขาต้องการไม่ได้) ป้าเอ็ดน่านี่เป็นตัวละครคลาสสิกสุดๆ ของวงการแอนิเมชันไปแล้ว ทุกท่านควรหาโอกาสไปกราบนาง
แถมอีกนิด แอนิเมชันขนาดสั้นที่ฉายนำ Incredibles 2 ชื่อเรื่องว่า Bao อ่านว่า “เปา” แปลว่า ซาลาเปา เป็นเรื่องของครอบครัวชาวจีนซึ่งแว่วมาว่าฝรั่งดูแล้วงงไปแปดตลบ คนไทยอย่างเราก็เลยโชคดีกว่าที่ดูแล้วเข้าใจและเข้าถึงได้ สำหรับดิฉันรู้สึกเฉยๆ กับแอนิเมชันเรื่องนี้ แต่ชื่นชมมากในฉากหนึ่ง เพราะมันแรงได้ใจ
สรุป: จ่าย 200 ได้กลับมา 203
โดย ปวิวัณณ์ คำเจริญ
29 กรกฎาคม 2561
หมายเหตุ: หนังแปะคำแนะนำว่า “ภาพยนตร์มีฉากที่มีแสงแฟลชเป็นส่วนประกอบ อาจส่งผลต่อผู้ที่มีปัญหาทางสายตาหรือผู้ที่มีอาการไวต่อแสง” นับเป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์มาก ทำให้ดิฉันหรี่ตาทันในฉากที่มีแสงจ้า เพราะมันจ้ามากจริงๆ จะหยิบแว่นดำขึ้นมาใส่ก็กระไร
(ขอบคุณภาพปกจาก imdb.com)
