โดย ปวิวัณณ์ คำเจริญ
17 มีนาคม 2560
ดูหนังอย่างคนเบี้ยน้อยหอยน้อย 103; ดู Logan หนังปิดตำนานวูล์ฟเวอรีน แต่ไม่ได้ปิดตำนานเอ็กซ์เม็นนะจ๊ะ ซีรีส์นี้ยังทำมาหากินไปได้อีกนาน
ฮิว แจ็กแมน ได้รับบทวูล์ฟเวอรีนแบบส้มหล่น เป็นส้มโอลูกโตที่หล่นกลางกบาลอย่างเหมาะเหม็ง เพราะเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่เขาจะสร้างหนัง X-Men กันนั้น แกยังเป็นนักแสดงกิ๊กก๊อกในฮอลลีวูดอยู่เลย ให้บังเอิญว่า ดูเกรย์ สก็อต ผู้เซ็นสัญญาจะมาเล่นบทนี้ จำเป็นต้องถอนตัวกะทันหันก่อนเปิดกล้องเพียง 3 อาทิตย์ แจ็กแมนจึงถูกเรียกมาเสียบ แล้วหลังจากนั้นแกก็ทำให้วูล์ฟเวอรีนกลายเป็นตัวละครที่โดดเด่นที่สุดในภาพยนตร์ชุดเอ็กซ์เม็น (X-Men Film Series) และบทวูล์ฟเวอรีนก็ทำให้แกกลายเป็นนักแสดงที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลกจวบจนปัจจุบัน
ทุกท่านคงทราบแล้วว่า หนังในเอ็กซ์เม็นซีรีส์นั้นมีทั้งภาคต่อ (sequel) ภาคต้น (prequel) ภาคแยก (spin-off) เยอะแยะหยุมแหยะน่างงงันมาก และกินเวลายาวนานหลายศตวรรษ แต่วูล์ฟเวอรีนก็ปรากฏทุกภาค ยกเว้นใน Deadpool (ปี 2016) ซึ่งเป็นหนังที่ฉีกแนวออกไปจากเรื่องอื่นๆ ในซีรีส์ ในบรรดาเรื่องที่มีวูล์ฟเวอรีนนั้น บางเรื่องแกมาแว้บเดียวเท่านั้นแหละ แต่ก็เหมือนแสงสว่างส่องลงกลางใจแฟนเดนตายทุกคน จนพร้อมที่จะตีตั๋วไปดูหนังเอ็กซ์เม็นทุกเรื่อง เผื่อแกจะแว้บๆ มาอีกให้ชื่นใจ จะเห็นได้ว่า นอกจากวูล์ฟเวอรีนจะเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในตัวเองแล้ว ยังทำหน้าที่เชื่อมโยงหนังเรื่องต่างๆ ในจักรวาลเอ็กซ์เม็นด้วย
สำหรับคนที่ดูแต่หนังโดยไม่ได้อ่านการ์ตูนต้นฉบับอย่างดิฉัน ได้รู้จักวูล์ฟเวอรีนครั้งแรกก็ในหนัง X-Men เมื่อปี 2000 หนังเปิดตัววูล์ฟเวอรีน หนุ่มหล่อล่ำสันที่ไว้เคราทรงแปลกๆ จำอดีตตัวเองไม่ได้ ดูมึนๆ ไม่สนใจโลก แต่มุทะลุดุดัน และยังมีลักษณะประหลาด คือเวลาต่อสู้ จะมีใบมีดยาวคมปลาบดันทะลุง่ามนิ้วออกมาข้างละ 3 เล่มเหมือนกรงเล็บ และสามารถเก็บกลับเข้าไปหลังจากใช้งาน โดยแผลที่มือซึ่งถูกใบมีดดันออกมาก็หายเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว เขาผู้นี้คือมนุษย์กลายพันธุ์ (mutant) ซึ่งนอกจากจะมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในตัวแล้ว ยังมีฮีลลิ่งแฟ็กเตอร์ (healing factor) หรือความสามารถที่จะฟื้นฟูตัวเองได้อย่างรวดเร็วด้วย เหตุนี้เขาจึงหายจากการบาดเจ็บภายในเวลาแป๊บเดียว และแก่ช้ากว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่า เพราะเซลล์ของเขาฟื้นฟูตัวเองได้มากกว่ามนุษย์ธรรมดา
วูล์ฟเวอรีนได้รู้จักกับ ชาร์ลส์ ฟรานซิส เซเวียร์ หรือโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ (แสดงโดย แพทริก สตวร์ต) มนุษย์กลายพันธุ์ผู้เป็นอัมพาตต้องนั่งรถเข็น แต่มีพลังจิตสูงที่สุดในโลก และสามารถตามหามนุษย์กลายพันธุ์ทั่วโลกได้ด้วยพลังจิต โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนที่ฝึกสอนมนุษย์กลายพันธุ์ให้รู้จักควบคุมพลังพิเศษของตัวเองและใช้พลังไปในทางที่ถูกต้อง โดยวูล์ฟเวอรีนได้เป็นกำลังสำคัญของมนุษย์กลายพันธุ์ฝ่ายโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ ในการต่อสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมุ่งจะใช้พลังทำลายล้างมนุษย์ธรรมดา และในขณะเดียวกันก็ต้องต่อสู้กับมนุษย์ธรรมดาอีกหลายฝ่าย ทั้งพวกที่จ้องจะหาประโยชน์จากมนุษย์กลายพันธุ์ และพวกที่จองล้างจองผลาญมนุษย์กลายพันธุ์เพราะกลัวพลังพิเศษจะครองโลก บทบาทของวูล์ฟเวอรีนในหนังไตรภาคชุดแรกของเอ็กซ์เม็น อันได้แก่ X-Men (ปี 2000) X2 (ปี 2003) และ X-Men: The Last Stand (ปี 2006) ก็จะเป็นประมาณนี้
ที่จริงหนังภาคต่อ 3 เรื่องนั้นมันก็จบสมบูรณ์ในตัวแล้วล่ะ แต่ด้วยความป๊อปของวูล์ฟเวอรีน ทางค่ายก็เลยทำหนังภาคแยกให้แกซะ ได้แก่เรื่อง X-Men Origins: Wolverine (ปี 2009) นับเป็นเอ็กซ์เม็นคนแรกและคนเดียว (ในตอนนี้) ที่มีหนังเป็นของตัวเอง หนังเรื่องนี้ทำให้เราได้รู้จักวูล์ฟเวอรีนตั้งแต่ปฐมวัย ว่าจริงๆ แกชื่อ เจมส์ ฮาวเล็ตต์ เกิดตั้งแต่ปี 1832 โน่น มีกรงเล็บที่ซ่อนอยู่ในง่ามนิ้วพร้อมด้วย healing factor มาตั้งแต่เกิด (มันต้องมีคู่กัน ไม่งั้นเวลาเล็บทะลุออกมา มือก็เปิง) หนังบอกความเป็นมาของแกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แกเปลี่ยนนามสกุลเป็น “โลแกน” สาเหตุที่ทำให้แกความจำเสื่อม ที่มาของฉายา “วูล์ฟเวอรีน” และการทดลองที่อัพเกรดแกให้เป็นอาวุธที่ยากจะต่อกร ด้วยการเปลี่ยนกระดูกรวมทั้งกรงเล็บที่มีมาแต่กำเนิด ให้เป็นโลหะอดาแมนเทียม ซึ่งแม้จะแข็งแกร่งมาก แต่ก็มีพิษต่อร่างกาย เพียงแต่ร่างกายแกถึกทนทานกว่าผู้อื่น และมี healing factor ก็เลยอยู่ได้
ต่อมาในปี 2011 ทางค่ายก็หันมาจับเรื่องรวมๆ ของเอ็กซ์เม็นอีกที แต่ในเมื่อทำภาคต่อไม่ได้แล้ว ก็มาทำภาคต้นแทน ให้ชื่อว่า X-Men: First Class ย้อนยุคไปสมัยที่โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ยังหนุ่มๆ และเริ่มก่อตั้งโรงเรียน วูล์ฟเวอรีนออกมาแว้บเดียวตอนที่โปรเฟสเซอร์จะมาชวนให้เข้าไปเป็นนักเรียนรุ่นแรก แต่แกตอบว่า “ไปตายซะ” #เท่สาดดดด
ฉากเล็กๆ นี้เป็นเสมือนการบอกใบ้ว่าหนังเรื่องต่อไปจะเป็นของวูล์ฟเวอรีน เพราะในปี 2013 เราก็ได้ดูหนังภาคต่อของ X-Men Origins ตั้งชื่อง่ายๆ เลยว่า The Wolverine เล่าเรื่องของวูล์ฟเวอรีนหลังจากเหตุการณ์ใน X-Men: The Last Stand คราวนี้วูล์ฟเวอรีนได้ไปญี่ปุ่น #จ๊าก!! เพื่อพบเพื่อนที่แกเคยช่วยชีวิตไว้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แกก็เลยได้ไปบู๊ที่นั่นเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ
มาถึงเรื่องถัดมานี่แหละสำคัญ เพราะมันจะเป็นจุดเปลี่ยนของทุกอย่าง ซึ่งดิฉันคิดว่าน่าจะมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับความโด่งดังของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ผู้รับบทมิสทีค มนุษย์กลายพันธุ์สาวตัวสีฟ้าซึ่งมีความสามารถในการแปลงร่างเป็นคนอื่น ก่อนจะมาเล่น X-Men: First Class ลอว์เรนซ์แจ้งเกิดจาก Winter’s Bone เมื่อปี 2010 แล้วพอปี 2012 หลังจากรับบทมิสทีค นางก็กลายเป็นนักแสดงระดับท็อปจากบทนำในเรื่อง The Hunger Games และ Silver Linings Playbook แล้วในปีต่อมาก็ยังมีภาคต่อของ The Hunger Games ตามด้วยบทบาทอันจัดจ้านใน American Hustle อีก ภายในสองปีนั้นนางรับรางวัลมือเป็นระวิง ลูกโลกทองคำและออสการ์ก็ได้มาหมด ก็เลยมีผลกับภาคต่อของ X-Men: First Class ที่จะต้องยกให้นางเป็นตัวนำ เพื่อให้สมศักดิ์ศรีดาราใหญ่ และเพื่อสร้างกระแสตอบรับให้แก่หนังด้วย
ทีนี้เนื่องจากมิสทีคเป็นตัวร้ายในไตรภาคเอ็กซ์เม็นชุดแรก การจะเปลี่ยนให้นางเป็นตัวละครฝ่ายดีก็เลยมีวิธีเดียว คือล้างไตรภาคชุดแรกซะเลย โดยใช้หนังภาคต่อนี่แหละเป็นตัวลบล้าง
หนัง X-Men: Days of Future Past (ปี 2014) จับช่วงเวลาในอนาคต ปี 2023 เมื่อมนุษย์กลายพันธุ์ถูกฆ่าตายแทบจะหมดโลกแล้ว ด้วยหุ่นยนต์สังหารซึ่งมนุษย์ธรรมดาสร้างขึ้น อันที่จริงตอนที่เขาเริ่มโครงการสร้างหุ่นยนต์นี้เมื่อปี 1973 รัฐบาลยังไม่อนุมัติให้กวาดล้างมนุษย์กลายพันธุ์ แต่มิสทีคดันไปฆ่าคนสร้างหุ่นตาย รัฐบาลก็เลยเห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์เป็นอันตรายจริง จึงพัฒนาหุ่นสืบต่อมาจนกลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่สามารถสยบพลังของมนุษย์กลายพันธุ์ได้ทุกรูปแบบ ทางเดียวที่จะปกป้องมนุษย์กลายพันธุ์ได้ คือต้องเปลี่ยนอดีต ไม่ให้หุ่นนี้ถูกพัฒนาขึ้นมา โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์จึงให้มนุษย์กลายพันธุ์คนหนึ่งซึ่งมีพลังย้ายจิตไปในช่วงเวลาต่างๆ ส่งวูล์ฟเวอรีนกลับไปในปี 1973 เพื่อยับยั้งมิสทีคไม่ให้ฆ่าคนสร้างหุ่น และวูล์ฟเวอรีนก็ทำได้สำเร็จ ผลก็คือ เมื่อเหตุการณ์ในตอนนั้นเปลี่ยนแล้ว เหตุการณ์ที่สืบต่อมาก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นจึงเท่ากับว่า ในเส้นเวลา (timeline) ใหม่นี้ เรื่องราวในไตรภาคเอ็กซ์เม็นชุดแรก เรื่องราวใน X-Men Origins: Wolverine ตั้งแต่ปี 1973 เป็นต้นมา และเรื่องราวใน The Wolverine ทั้งหมด ไม่เคยเกิดขึ้นเลย #อกอีแป้นแหก คนดูทั้งหลายจงมาตั้งต้นชีวิตใหม่กันในปี 1973 เริ่มจากหนังภาคต่อไป คือ X-Men: Apocalypse (ปี 2016) เลยละกันนะ ที่ผ่านมาก็ให้ลืมๆ มันไปเถิด
เป็นอันว่า ต่อไปนี้ทางค่ายก็จะเขียนเรื่อง X-Men ขึ้นใหม่หมด และหากินไปได้อีกนาน #ยิงปืนนัดเดียวได้นกเป็นฝูง ส่วนในด้านนักแสดง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ขอเล่น X-Men: Apocalypse เป็นเรื่องสุดท้าย และฮิว แจ็กแมน ก็ขออำลาบทวูล์ฟเวอรีนซักที เพราะแกเล่นมาตั้งแต่อายุ 30 บัดนี้แกก็ใกล้จะ 50 แล้ว อิ่มตัว
โปรเจ็กต์หนังปิดตำนานวูล์ฟเวอรีนจึงถูกพัฒนาขึ้น โดยที่วูล์ฟเวอรีนก็ไปปรากฏใน X-Men Apocalypse นิดหน่อย ตอนนั้นเป็นช่วงที่แกเพิ่งถูกเปลี่ยนกระดูกเป็นอดาแมนเทียม ถูกขังอยู่ในฐานลับของโครงการ Weapon X พวกมนุษย์กลายพันธุ์ไปช่วยแกให้แหกฐานออกมาได้ และหนีเข้าป่าไป
จากนั้นชีวิตแกจะเป็นอย่างไรไม่ปรากฏ เพราะหนัง Logan พาเราข้ามไปในปี 2029 เลย ตอนนั้นโลแกนหรือวูล์ฟเวอรีนอายุ 197 ปีแล้ว สังขารทรุดโทรมลงเรื่อยๆ อดาแมนเทียมในร่างกายกำลังทำพิษอย่างหนัก และ healing factor ก็เสื่อมลงทุกที แกต้องทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างขับรถลีมูซีน ในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ ซึ่งอายุ 97 ปี และเป็นโรคอัลไซเมอร์ ทำให้บางครั้งก็ควบคุมพลังของตนไม่ได้ ทั้งยังต้องรับผิดชอบชีวิตมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นจิ๋วอีกคนหนึ่ง ซึ่งถูกตามล่าโดยหน่วยคอมมานโดของโครงการ Transigen โครงการที่สืบทอดเจตนารมณ์มาจาก Weapon X ด้วย
ที่มาภาพ: screencrush.com
หนังสร้างขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากนิยายภาพเรื่อง Old Man Logan ของมาร์เวลคอมิกส์ผู้ให้กำเนิด X-Men ไม่รู้ว่านิยายภาพมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน แต่หนังนี่จัดมาเต็ม ประมาณว่าได้เห็นตัวอย่างจาก Deadpool เมื่อปีที่แล้ว ว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่เรต R ก็ขายได้ แถมยังเป็นที่ถูกอกถูกใจมากกว่าด้วย เพราะคนดูหนังซูเปอร์ฮีโร่สมัยนี้ก็ผู้ใหญ่ทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นจะมีเด็กดูเท่าไหร่เลย 555 ด้วยเหตุนี้ หนัง Logan จึงไม่เหมาะกับเด็กด้วยประการทั้งปวง แม้รายละเอียดบางอย่างจะดู ‘เด็กๆ’ อยู่บ้างก็ตาม เหอๆๆ
โดยรวม หนังมีความจริงจังในระดับที่พอไปวัดไปวาได้ แต่ด้วยความ ‘เด็กๆ’ บางอย่างดังที่กล่าวไปนั่นแหละ ทำให้มันยังไปไม่ถึงจุดที่ควรจะไปถึง ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะหนังอุตส่าห์คุมโทนให้มืดหม่นมาตั้งแต่ต้นแล้ว และในส่วนที่ดาร์กก็ดาร์กได้ใจ โดยเฉพาะความเป็นจริงที่หนังนำเสนอว่า สุดท้ายแล้วโลกนี้ก็ไม่มีที่ทางสำหรับคนที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เหมือนกับมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลาย ซึ่งแม้ว่าจะไม่ถูกกวาดล้างด้วยหุ่นยนต์สังหาร แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานและถูกไล่ล่าเอาชีวิตอยู่ดี
การแสดงของนักแสดงนำทั้งสาม คือ ฮิว แจ็กแมน แพทริก สตวร์ต และน้องดาฟเน คีน ผู้รับบทลอร่า มนุษย์กลายพันธุ์เด็กรหัส X-23 คือสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะแจ็กแมน นับตั้งแต่เริ่มต้นรับบทวูล์ฟเวอรีนเมื่อปี 2000 จนเวลาผ่านมาเกือบ 20 ปีเข้าแล้วนี่ กล่าวได้ว่า นี่คือบทบาทหนึ่งที่เป็น “ตำนาน” ของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด โดยที่แกได้ “เปิดตำนาน” และ “ปิดตำนาน” อย่างสวยงาม ซึ่งมันจะคงอยู่ในความทรงจำของคนที่รักวูล์ฟเวอรีนไปชั่วกัลปาวสาน
สรุป: จ่าย 140 ได้กลับมา 110
(ขอบคุณภาพปกจาก movieweb.com)
