ตั้งแต่หนังเรื่อง Mission: Impossible ภาคแรกออกฉายเมื่อปี 1996 (หากไม่นับเวอร์ชัน TV series) คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของหนังสายลับชุดนี้ก็คือ พี่ทอม ครูซ และท่าวิ่งที่เป็น signature run ของเขา เรียกได้ว่าถ้าเห็นพี่ทอมวิ่งในหนังสักเรื่อง ให้เดาไว้ก่อนว่าน่าจะเป็นหนังตระกูลนี้แน่ๆ
ต้องบอกก่อนว่าเราเองไม่ได้เป็นแฟนหนังชุดนี้ตั้งแต่ต้น เหตุเพราะเมื่อครั้งดูภาคแรกในโรงแล้วหลับถึงสองรอบด้วยกัน เลยคิดว่าหนังสายลับชุดนี้คงไม่เหมาะกับเรามั้ง จึงบอกศาลาภาค 2-3 ไปโดยปริยาย จนได้ข่าวว่าพี่ Brad Bird ผู้กำกับ The Iron Giant (1999) และ The Incredibles (2004) จะมาทำหนังคนแสดงเป็นเรื่องแรก อันได้แก่ Mission: Impossible ภาค 4 ที่มีชื่อตอนว่า Ghost Protocol เมื่อปี 2011 (นอกจากนี้อีกเหตุผลหนึ่งที่ภาคนี้น่าดูมากๆ คือมีพี่ Jeremy Renner แสดงด้วย) ซึ่งพี่แบรดนกทำไว้ได้มันมากและดีงามตามความคาดหวัง จึงทำให้เรากลับมาสนใจภารกิจสุดเหลือเชื่อของพี่อีธาน ฮันต์อีกครั้ง และดูต่อมาเรื่อยๆ จนถึงภาคล่าสุดที่ชื่อว่า Mission: Impossible – Fallout ซึ่งเป็นภาคที่ 6 แล้ว ในภาคนี้พี่ทอมก็มาวิ่งสู้ฟัดให้คนดูสะใจกันอีกครั้ง แต่ทว่าปัจจัยที่ทำให้หนังสายลับชุดนี้ยังเป็นที่นิยมตลอดช่วง 22 ปีมานี้ได้ คงไม่ใช่เพียงมีพี่ทอมวิ่งเท่านั้นกระมัง
ที่มาภาพ: imdb.com
แม้จะกลายเป็นสมการตายตัวไปแล้วว่า Mission: Impossible = พี่ทอมครูซ แต่จริงๆ แล้วบทอีธาน ฮันต์ก็ไม่ใช่สายลับที่เยี่ยมยอดในแบบข้ามาคนเดียว ทว่าเขายังมีทีมงานที่เก่งกาจและไว้ใจกันได้ และการทำงานเป็นทีมนี่เองก็ทำให้ Mission: Impossible มีเสน่ห์ชวนติดตามไม่แพ้ทีมจารกรรมรถยนต์ในเรื่อง Fast & Furious เลย ยอดฝีมือในทีมของอีธาน ฮันต์ได้แก่ ลูเธอร์ สติกเคิล (Ving Rhames ภาค 1-6) เบนจี้ ดันน์ (Simon Pegg ตั้งแต่ภาค 3 เป็นต้นมา) อิลซ่า เฟาสต์ (Rebecca Ferguson ภาค 5 และ 6) รวมทั้งเจน คาร์เตอร์ (Paula Patton ภาค 4) และวิลเลียม แบรนด์ทฺ (Jeremy Renner ภาค 4 และ 5) ด้วย (ถ้าไม่ได้สองคนหลังนี่ พี่อีธานคงซี้แหงตั้งแต่ภาคสี่ละ)
สมาชิกทีมสายลับ IMF (Impossible Mission Force) นอกจากจะมีทักษะและความสามารถเฉพาะตัวในระดับเจ๋งสุดยอดแล้ว สิ่งที่ทำให้ภารกิจสุดเหลือเชื่อของพวกเขาประสบความสำเร็จได้ในแต่ละครั้งน่าจะอยู่ที่ความไว้เนื้อเชื่อใจกันอย่างมาก โดยเฉพาะอีธานที่เป็นเสาหลักของทีม เมื่อไรก็ตามที่เขาให้สัญญากับทุกคนในทีม นั่นแปลว่าเขาจะสามารถทำตามสัญญาได้เสมอ ซึ่งทำให้ลูกทีมทุกคนกล้าฝากผีฝากไข้ ฝากชีวิตไว้กับอีธานแบบไร้ความกังขาใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เบนจี้โดนมัดติดกับระเบิดในภาค 5 หรือตอนที่ลูเธอร์ถูกเอาปืนจ่อหัวในภาคนี้ เป็นต้น
ตัวละครพิเศษในภาคนี้ ที่เด่นๆ คงเป็น Henry Cavill รับบทเป็นสายลับออกัสต์ วอล์กเกอร์ สมาชิกใหม่ในทีม ที่สลัดคราบซูเปอร์แมนมาแสดงฉากพะบู๊ได้มันหยดไม่แพ้พี่ทอมเลย คนต่อมาคือ Sean Harris ในบทโซโลมอน เลน วายร้ายที่ทั้งแสบและฮาไปพร้อมๆ กัน และเป็นวายร้ายคนแรกของหนังชุดนี้ที่ปรากฏตัวในหนังมากกว่าหนึ่งภาคด้วย อีกคนที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือ Michelle Monaghan ในบทจูเลีย อดีตคนรักของอีธานที่จำเป็นต้องหลบไปสร้างชีวิตใหม่ มิฉะนั้นเธอจะมีอันตรายถึงชีวิต การกลับมาของจูเลีย (แบบไม่ได้โผล่มาแว้บๆ ด้วย) นอกจากแสดงให้เห็นความสุขปนขมขื่นในชีวิตของอีธานและจูเลียแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพของทั้งคู่ ที่สามารถแยกแยะความรู้สึกส่วนตัวและหน้าที่ที่ต้องทำต่อสังคมและมวลมนุษยชาติได้อีกด้วย
ความดีงามโดยรวมทั้งหมดของ Mission: Impossible – Fallout คงต้องยกให้ผู้กำกับ Christopher McQuarrie (เจ้าของรางวัลออสการ์บทยอดเยี่ยมจาก The Usual Suspects, 1995) ที่ทำหน้าที่คุมบังเหียนหลักรวมถึงเขียนบทหนังมาตั้งแต่ภาค 5 ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่เรารู้จักในฐานะนักเขียนบทดรามาอาชญากรรมคนหนึ่ง จะเปลี่ยนสถานภาพมากำกับหนังแอ็กชันได้มันขนาดนี้ เอาจริงๆ จะว่าไปพล็อตเรื่องของ Fallout ก็ถือว่าคล้ายๆ กับภาคก่อนหน้า จะต่างกันก็เพียงรายละเอียดปลีกย่อยบางประการ ถึงกระนั้นคนดูก็ยังสนุกและตื่นเต้นไปกับหนังได้ตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยการออกแบบฉากต่อสู้ที่ไม่ซ้ำซากจำเจ นอกจากนั้นยังใส่ความเจ้าเล่ห์เพทุบายกับแผนการอันแยบยลและยียวนของทั้งฝ่ายพระเอกและตัวร้าย อันเป็นเอกลักษณ์ของหนังสายลับได้อย่างลงตัว
อย่างที่รู้กันว่า พี่ทอมแกเป็นนักแสดงโคตรทุ่มเท เมื่อไหร่ที่แกมีโอกาสแสดงหนังแอ็กชัน พี่แกก็มักเล่นฉากสตันท์เอง เช่นในภาคสี่ก็อุตส่าห์ปีนตึก Burj Khalifa เองจริงๆ (แน่นอนว่ามีสายนิรภัย) แต่พี่ก็ไม่ยอมให้ใช้ฉากเขียวโปะ CGI โดยพี่ให้เหตุผลว่าอยากให้คนดูเห็นว่าพี่สวมวิญญาณตุ๊กแกไปแปะอยู่ข้างตึกจริงๆ ส่วนภาคนี้ก็ลงทุนแสดงสตันท์เองหลายฉาก เช่น ฉากโดดร่มแบบ H.A.L.O. (High Altitude, Low Opening) ที่ใช้เวลาฝึกอยู่เป็นแรมปี ฉากโดดข้ามตึก (ที่ทำเอาแกข้อเท้าหักจนต้องพักกองถ่ายมาแล้ว) หรือฉากไล่ล่าบนเฮลิคอปเตอร์สุดหวาดเสียว คนดูอย่างเราเห็นพี่ทอมเล่นเองทุกฉากแบบนี้ ก็กลัวว่าแกจะตายจริงๆ เหลือเกิน ใครสนิทกับพี่ทอม ฝากบอกพี่ทอมหน่อยว่า พี่ครับ ให้สตันท์แมนได้ทำงานบ้าง รู้ว่าพี่ทุ่มเท พี่ชอบความตื่นเต้ลลลล แต่ถ้าพี่เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ จะอดใช้เงินหลายพันล้านเชียวนะครับ
8/10 ครับ
ป.ล. ในจำนวนรายการที่พี่ทอมไปออกเพื่อโปรโมตหนังภาคนี้ คลิปจากรายการ The Late Late Show with James Corden น่าจะเป็นคลิปที่เจ๋งและฮาที่สุดแล้ว ตามหาดูกันได้ในยูทูบนะครับ ชื่อคลิปว่า “Tom Cruise Forces James Corden to Skydive”
ป.ล. 2 อ้าว ลืมเล่าเรื่องตอนนี้เหรอ ไปหาอ่านกันเองแล้วกันนะ ขี้เกียจอธิบายยาว เจ็บมือ อ่อ
โดย Average Joe
10 สิงหาคม 2561
(ขอบคุณภาพปกจาก anygoodfilms.com)
